วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

จัดทำโดย

โรงเรียนเทพศิรินทร์ร่มเกล้า ม.6/5
นาย วรจิตต์ โชติสเวตร เลขที่ 23
 นาย ปัณณวิชญ์ บารมี เลขที่ 28
นาย กานต์เดช สงเขียว เลขที่ 30
นาย ศิวกร วงศ์ส่องจ้า เลขที่ 32
นาย กฤตชัย แป้นบางนา เลขที่ 33
นาย ดาเมียน์ ฟาลีส เลขที่ 34
นาย ฉัตรบดินทร์ แก้วส่วาง เลขที่ 37
นาย เจ้าพระยา พิลึกแก้ว เลขที่ 39

ศิลปะอินเดีย

ศิลปะอินเดีย






ศิลปะอินโดเนีเซีย

ศิลปะอินโดนีเซีย






ศิลปะไทย

ศิลปะเวียดนาม






ศิลปะญี่ปุ่น

ศิลปะญี่ปุ่น






ศิลปะเกาหลี

ศิลปะเกาหลี






ศิลปะไทย

ศิลปะไทย







ประยุกต์ศิลป์และหัตถกรรมตะวันออก

ประยุกต์ศิลป์และหัตถกรรมตะวันออก

ส่วนใหญ่คืองานศิลปะที่สนองประโยชน์ใช้สอย ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะงานประณีตศิลป์ และงานหัตถกรรมเท่านั้น เพราะทั้งสองประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นส่งของเครื่องใช้ นับตั้งแต่สิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันขึ้นไปจนถึงสิ่งฟุ่มเฟือยซึ่งสนองตอบในทางตกแต่งประดับประดามากกว่าจะมีความจำเป็นจริงๆ ในเรื่องนี้ถ้าเราหันกลับไปดูในยุคโบราณก็จะเห็นได้ว่ามนุษย์ดึกดำบรรพ์มีทั้งเครื่องมือหิน หนังสัตว์ และเครื่องประดับประดาที่เป็นลูกปัดร้อยเป็นพวงแขวนคอ ดังนั้น เครื่องประดับอาจใช้แทนเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ก็ได้

ประณีตศิลป์

มักจะเป็นสิ่งของเครื่องใช้ของชนชั้นสูง เช่น เครื่องเงิน เครื่องทอง เครื่องประดับมุก ตลอดจนผ้าแพรพรรณที่ประณีต ลักษณะรูปแบบของประณีตศิลป์ย่อมขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมอีกด้วย เช่น เครื่องประดับร่างกายของชาวอินเดีย จะสวมแหวนในงานพิธี ทั้งนิ้วมือและนิ้วเท้า ของจีนนิยมใช้หยกและทองคำมาทำเครื่องประดับ ส่วนของไทยนิยมทั้งเงิน นาก ทองคำ และยังมี “ นพเก้า ” คือ แก้วมณีทั้ง 9 ชนิดอีกด้วย

    หัตถกรรม

ประณีตศิลป์กับงานหัตถกรรม มีส่วนคล้ายกันในเรื่องชนิดของงาน เช่น เครื่องใช้ เครื่องประดับ แต่ลักษณะของงานย่อมแสดงให้เห็นว่า งานหัตถกรรมใช้ฝีมือตามวิธีการที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาและมีความละเอียดพอควรแก่ชนิดของงาน การตกแต่งประดับประดาอาจน้อยลง เช่น การทำภาชนะดินเผา ถ้าเป็นระดับงานหัตถกรรม ก็จะทำแต่เฉพาะตัวภาชนะเกลี้ยง ๆ ไม่เคลือบผิว แต่ถ้าเป็นประณีตศิลป์ อาจจะต้องมีขารอง ทำชั้นเชิงที่ขาเพื่อเหมาะกับเขียนลาย แล้วเคลือบสีเขียวลายตกแต่งให้วิจิตรบรรจงขึ้นก็ได้หรือในการทอผ้า ถ้าเป็นผ้าด้ายธรรมดาย้อมสี ก็ทอเป็นผ้าพื้น ผ้าขาวม้า แต่ถ้าทอด้วยไหมสลับดิ้นทองยกเป็นดอกดวงที่ประณีต ก็จะแตกต่างกันไป เพราะเพียงผ้าพื้นและผ้าขาวม้านั้น เป็นเพียงงานหัตกรรมที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวันมากกว่าผ้าไหมสอดดิ้นทองแพววพราวซึ่งเป็นงานประณีตศิลป์ที่ใช้ครั้งคราวเท่านั้น

เครื่องเคลือบดินเผา

ทำกันมาก่อนในทวีปเอเชีย จนมีชื่อเสียงทั้งของจีนและของไทย แล้วก็มีผู้นำเอาไปในยุโรปภายหลัง จึงเห็นได้ว่า งานประยุกต์ศิลป์และงานหัตถกรรมของตะวันออก มีส่วนผลักดันให้ทางตะวันตกคิดสร้างสรรค์ขึ้นด้วย นอกจากนั้นยังได้แสดงถึงประโยชน์ในการช่างใช้และเหมาะสมกับชีวิตของชาวตะวันออกเอง ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามลักษณะของวัฒธรรมในและละประเทศด้วย

เครื่องปั้นดินเผา

นับว่าเป็นงานที่มีรูปแบบที่วิวัฒนาการสืบเนื่องมายาวนานที่สุด จากการรวบรวมหลักสูตรมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ทราบได้ว่ามีการทำภาชนะดินเผากันมาไม่ต่ำกว่า 7,000 ปี แล้ว รูปแบบของภาชนะก็จะพัฒนาเปลี่ยนแปลงได้ตามสมัยและในบางยุคสมัยก็ยังสามารถสร้างสรรค์ให้เป็นที่นิยมไปทั่วสารทิศ เช่น ในสมัยสุโขทัย ประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 การผลิตเครื่องปั้นดินเผาของสุโขทัยยั้งคงผลิตเพื่อใช้ในท้องถิ่นเท่านั้นและในเวลาเดียวกันนี้ ได้มีการผลิตที่พม่าและเขมรเช่นกัน การตั้งอาณาจักรสุโขทัยเปลี่ยนแปลงไปด้วย คือมีการผลิตชนิดที่ดีและมีคุณภาพมากขึ้น เพื่อใช้ในพิธีกรรม ใช้ในครัวเรือน และใช้เป็นวัสดุก่อสร้าง ตามหลักฐานวิเคราะห์ได้ว่ามีการสร้างเตาเผาขึ้นที่บ้านป่ายาง นอกกำแพงเมืองศรีสัชนาลัย เพื่อผลิตวัสดุก่อสร้างภาชนะ เช่น ถ้วยชาม แจกัน ไห และอื่น ๆ เพื่อใช้ภายในอาณาจักร แต่ต่อมามีการขยายตัวมากขึ้น การผลิตเครื่องปั้นดินเผาเพื่อส่งขายเป็นสินค้าออกก็เพิ่มมากขั้น
เครื่องปั้นดินเผาที่พบมากในประเทศอินโดนีเชียและฟิลิปปินส์ เชื่อว่าเมื่อประมาณปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 ได้มีพ่อค้าจากอยุธยาซึ่งคงจะเป็นชาวจีน นำเครื่องปั้นดินเผาไทยเข้าไปตีตลาดเครื่องปั้นดินเผาจีนในอินโดนีเชียและฟิลิปปินส์ ซึ่งตลาดทั้งสองแห่งนี้ได้นำมาสู่การขยายตัวของอุตสาหกรรม เครื่องปั้นดินเผาของอาณาจักรสุโขทัย กล่าวคือมีการสร้างเตาเผาขนาดใหญ่ผลิตรูปทรงแปลก ๆ มากขึ้น ลวดลายประณีต และกรรมวิธีที่จะผลิตสินค้าเป็นจำนวนมากได้ถูกนำมาใช้ การส่งออกขายภายนอกอาณาจักรนั้น ดำเนินมาจนกระทั่งกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 ก็หยุดชะงักไป เพราะการรุกรานของพม่า กล่าวได้ว่าเตาเผาของอาณาจักรสุโขทัยเป็นแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาแท่นใหญ่ที่สุดของไทยในระยะคริสต์ศตวรรษที่ 14-16 นอกจากจะพบเตาเผาที่บ้านป่ายาง บ้านเกาะน้อย ที่อำเภอศรีสัชนาลัย และที่สุโขทัยเมืองเก่าแล้ว ยังพบเตาเผาที่พิษณุโลกอีกด้วย
เตาเผาที่เกาะน้อยเป็นแหล่งผลิตภัณฑ์ที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุด เตาเผาที่เกาะน้อยมีประมาณ 600-800 เตา บ่างแห่งสร้างติดต่อเรียงกันเป็นแนวยาว เตาเผาบางแห่งสร้างซ้อนทับกัน ผู้เขียนได้ไปสำรวจบริเวณการก่อสร้างดังกล่าว เมื่อ พ.ศ. 2526 เพื่อเก็บข้อมูลเรื่องเครื่องปั้นดินเผา พบว่า พัฒนาการของเตาเผาเกาะน้อยเริ่มจากสร้างเป็นหลุมเล็ก ๆ ริมฝั่งแม่น้ำ ต่อมาก่อผนังกั้นไฟสร้างเตาเผาในหลุมบนพื้นราบ มีหลังคาเป็นดินเหนียวโครงทำด้วยไม้ไผ่ เข้าใจว่ามีการค้าขายกับประเทศใกล้เคียง โดยการเผาผลิตภัณฑ์แล้วลำเลียงด้วยเรือ ซึ่งสำรวจพบว่า บริเวณการก่อสร้างเตานั้นมีซากของหอยชนิดต่าง ๆ อยู่ด้วย เข้าใจว่ามีน้ำท่วมบริเวณนั้น เรือสามารถจอดได้ ณ บริเวณการก่อสร้างผลิตภัณฑ์นั่นเอง






สถาปัตยกรรมตะวันออก

สถาปัตยกรรมตะวันออก

งานสถาปัตยกรรมตะวันออก อาจแบ่งออกได้ตามประโยชน์ช่วงใช้ จึงมีทั้งที่อยู่อาศัยและสิ่งก่อสร้างในศาสนา และเนื่องจากประเทศในตะวันออกส่วนใหญ่อยู่ในโซนร้อน มีฝนชุกบ้าง มีอากาศแปรปรวนหนาวร้อนจัดบ้าง หลังคาของอาคารส่วนใหญ่จะมีจั่วสูง ซึ่งแตกต่างกับอินเดีย เพราะแม้ว่าจะเป็นประเทศแม่บทบาททางศิลปะและวัฒนธรรมของเอเซีย แต่ก็มิได้มีสิ่งก่อสร้างเฉพาะ ที่อยู่อาศัยเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ทั้งนี้เป็นเพราะอากาศตามปกติของอินเดียออกจะแห้งแล้งและหนาวจัดในบางฤดู ที่อยู่อาศัยจึงสร้างขึ้นเพื่อป้องกันอากาศที่แปรปรวน แต่ประเทศทางตะวันออกไกลมีฝนตกชุก มีอากาศร้อน ที่อยู่อาศัยจึงหลังคาสูง และปลูกอยู่บนเสาสูง
ลักษณะของสถาปัตยกรรมตะวันออกเป็นไปตามฐานะของบุคคลอย่างเห็นได้ชัด เช่น ปราสาทราชวังของกษัตริย์ หรือคฤหาสน์อันโอ่อ่าของคหบดี หรือกระท่อมไม้ไผ่ มุงหญ้าคาของคนในชนบท สิ่งเหล่านี้มิได้เป็นสิ่งแปลกประหลาด เพราะดูจะเหมือนกันทุกแห่งในโลก
พิจารณาในด้านการศึกษารูปแบบการตกแต่งแล้ว จะเห็นความคิดสร้างสรรค์ตามความเหมาะสมยิ่งขึ้น เช่น ในถิ่นที่มีไม้มากก็จะใช้ไม้หรือในถิ่นที่มหาไม้ได้ยากกว่า ก็จะใช้วัสดุอย่างอื่น การสร้างที่อยู่อาศัยจึงขึ้นกับสิ่งแวดล้อมหลายอย่าง เช่น อุปกรณ์ ดินฟ้าอากาศ และพื้นเพสภาพความเป็นอยู่ของผู้คน
สำหรับศาสนสถาน หรือ สิ่งก่อสร้างในศาสนานั้น แตกต่างกันออกไปจากที่อยู่อาศัย บ้างมีความมุ่งหมายให้เกิดความถาวรมั่นคง มีอายุยืนนาน จึงมักจะก่อสมร้างด้วยหิน หรือ อิฐปูนตามกำลังศรัทธา เช่น ในประเทศอินเดีย สมัยราชวงค์คุปตะ มีการเจาะภูเขาสร้างเป็น “ วิหารถ้ำ ” เช่น ถ้ำอาจันตะ มีอยู่ถึง 20 กว่าถ้ำ แต่ถ้าถ้ำประดิษฐ์สิ่งตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง จนเหนือความสามารถของมนุษย์ในปัจจุบันที่จะทำเช่นนั้นได้ การสร้างศาสนาสถานในลักษณะต่าง ๆ ของประเทศตะวันออก แม้ว่ามีแม่บทคือ อินเดีย แต่ก็ยังสามารถประดิษฐ์ให้เป็นแบบอย่างเฉพาะของแต่ละประเทศได้ นับว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ซึ่งคนสมัยก่อน ๆ ได้ฝากความคิด และฝีมือไว้เป็นอุทาหรณ์
การตกแต่งประดับประดาสิ่งก่อสร้างเฉพาะที่อยู่อาศัยย่อมแตกต่างกับศาสนสถานเพราะ ที่อยู่อาศัยนั้น มุ่งแสดงฐานะความสะดวกสบาย และความสุขของผู้อยู่อาศัยที่เป็นเจ้าของ แต่ศาสนสถานนั้นมุ่งจรรโลงศาสนา ทุ่มเทพลังความคิดและฝีมือเพื่อเสริสร้างความศรัทธาแก่มหาชน อาจทำตามผู้มีอำนาจบงการก็จริงอยู่ แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นสถานที่ทำให้เกิดความวิเวกจิตสงบ จึงมีการตกแต่งที่แตกต่างกันออกไปบ้าง เรื่องราวที่นำมาประกอบกับความเข้าใจในการตกแต่งอาจมีทั้งจิตรกรรมและประติมากรรม ซึ่งล้วนแล้วแต่เพื่อประโยชน์สุขทางศาสนาร่วมกันของมหาชนทั้งสิ้น



ประติมากรรมตะวันออก

ประติมากรรมตะวันออก


งานประติมากรรมตะวันออก ส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับศาสนาจึงมักจะเป็นเทวรูป พระพุทธรูป หรือ พระโพธิสัตว์ ซึ่งมีทุกขนาดตั้งแต่ใหญ่โตมหึมา จนถึงเล็กกระจิดริด ลักษณะของประติมากรรมอาจแบ่งออกได้ตามสายศิลปะเช่นเดียวกับจิตรกรรมดังต่อไปนี้

ประติมากรรมทางสายศิลปะอินเดียนั้น ก็เนื่องมาจากลักษณะรูปแบบที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นในยุคสมัยต่าง ๆ ซึ่งก็ได้ถ่ายทอดไปสู่ประเทศอื่น ๆ อยู่ตลอดเวลาตาม “ คลื่นศาสนา ” ที่แพร่สะพัดไปเป็นครั้งคราว จึงเห็นได้ว่าประเทศที่รับเอาลักษณะรูปแบบไปจากอินเดียนั้น ได้คิดสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ตามรสนิยมของตนเองจนกลายเป้นศิลปะที่ได้รับการยกย่อง เช่น ประติมากรรมของไทย ของกัมพูชา เป็นต้น แม้ในประเทศเดียวกันก็ยังมีการสร้างสรรค์ให้แตกต่างกันออกไปตามยุคตามสมัยด้วย ตัวอย่างเช่น พระพุทธรูปของไทย ก็ยังสามารถแยกออกได้ว่า เป็นยุคสมัยใดบ้าง ประติมากรรมเหล่านี้ได้ชี้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ จนกลายเป็นลักษณะของแต่ละประเทศ แต่ส่วนใหญ่แล้วสร้างรูปแบบขึ้นโดยเน้นความงามให้เหมือนธรรมชาติ เช่น ร่างกายของประติมากรรมที่เกลี้ยงเกลา ไม่แสดงกล้ามเนื้อ เครื่องประดับแพรวพราวตามแบบของ แต่ละประเทศ ประติมากรรมเหล่านี้มีทั้งแกะสลักด้วยไม้ หิน และปั่นหล่อด้วยโลหะที่เรียกว่า “ สัมฤทธิ์ ”

ประติมากรรมในสายศิลปะจีน ก็อาศัยลักษณะรูปแบบประติมากรรมอินเดียมาตั้งแต่ในระยะแรก เฉพาะพระพุทธรูปจะเห็นได้ชัดว่า ดำเนินตามลักษณะพระพุทธรูปของอินเดียติดต่อมาเกือบทุกระยะ เช่น สมัยคันธาระ สมัยมถุรา สมัยอมราวดี สมัยคุปตะ เป็นต้น พระพุทธรูปของจีนเองก็แพร่หลายออกไปอีกหลายประเทศ มีญี่ปุ่น เกาหลี เป็นต้น แต่ละประเทศก็สามารถสร้างสรรค์แสดงลักษณะแบบอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองได้ ทำให้บังเกิดพระพุทธรูปขนาดต่าง ๆ เช่น ในประเทศญี่ปุ่นมีพระพุทธรูป “ ไดบุดสุ ” สูงใหญ่มาก



จิตรกรรมตะวันออก

จิตรกรรมตะวันออก


จิตรกรรมตะวันออก หรือ ภาพเขียนของศิลปะสายอินเดีย เป็นงานศิลปะที่มีลักษณะเด่นอยู่ที่การแสดงเนื้อเรื่องใช้ภาพคนเป้นสิ่งดำเนินเรื่อง จึงได้รับการเอาใจใส่เป็นพิเศษที่ประดิษฐ์ภาพคนให้เด่น และประกอบด้วยทิวทัศน์ ปราสาทราชวัง ตามที่ปรากฏในเนื้อเรื่อง ความกลมกลืนและหลักการจัดตัวภาพมีส่วนคล้ายกัน
เฉพาะในกลุ่มประเทศในสายศิลปะอินเดีย นอกจากนั้นก็มีการเน้นภาพคนสำคัญให้เด่นกว่าคนอื่น ๆ ในภาพเดียวกัน ซึ่งเท่ากับใช้ภาพช่วยเล่าเรื่องให้เข้าใจนั่นเอง การใช้สีก็จะผสมสีให้เป็นไปตามความต้องการแล้วระบายสีจนเรียบแบบไม่เน้นแสงเงา และไม่แสดงกาลเวลาด้วย การตัดเส้นเป็นสิ่งสำคัญมาก ส่วนพื้นที่ในการเขียนภาพนั้น
มีทั้งเป็นแผ่นผนังอาคาร เขียนเป็นภาพประกอบในหนังคัมภีร์ เช่น หนังสือธรรม และหนังสือสวด เป็นต้น สำหรับการเขียนตกแต่งก็จะมีสีที่สดใสประกอบกับการตัดเส้นจนเด่นชัดยิ่งขึ้น
ส่วนจิตรกรรมหรือภาพเขียนในสายศิลปะจีน มีลักษณะเด่นอยู่ที่การแสดงแนวปรัชญาสิ่งปรากฏในภาพจึงเป็นธรรมชาติมีป่า เขา แม่น้ำ ลำธาร นก ดอกไม้ ใบไม้ โดยเฉพาะใบไม้ไผ่ของจีน ศิลปินสามารถวาดด้วยสีดำที่ผสมน้ำให้บังเกิดความอ่อนแก่ได้อย่างกลมกลืนยิ่ง สีดำเรียกว่า “ หมึกจีน ” เป็นหลักในการเขียนภาพ ส่วนสีอื่น ๆ ก็ใช้อย่างเจือจางมากและภาพส่วนมากจะมีตัวอักษรประกอบเพื่อให้เกิดแง่คิดทางปรัชญาธรรมะ สำหรับภาพที่ใช้คัมภีร์พระไตรปิฎกเขียนเป็นภาพคน เพื่อเล่าเรื่องหรืออธิบายเรื่องด้วย แต่จิตรกรรมของญี่ปุ่นมีสีมากขึ้น การใช้สีที่ค่อนข้างสดใสแต่ก็เจือจางเป็นสีบาง ๆ เท่านั้น
การจัดวางภาพจิตรกรรมในสายศิลปะจีน จะเห็นได้ว่าพยายามเน้นจินตนาการอัน ประกอบด้วยธรรมชาติต่าง ๆ ดังกล่าวว่า สำหรับการใช้สีนั้น เฉพาะงานวิจิตรกรรมมักจะเป็นสีเจือจาง แต่ถ้าเป็นการใช้สีตกแต่งก็จะเป็นสีที่สดใส
       

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

ความเชื่อและขนบธรรมเนียมประเพณี

ความเชื่อและขนบธรรมเนียมประเพณี


มนุษย์ในโลกตะวันออกแต่ละชาติแต่ละภาษา มีความเชื่อถือที่แตกต่างกันออกไปบ้างและคล้ายคลึงกันบ้าง ส่วนที่คล้ายคลึงกันนั้น เป็นเพียงเรื่องของศาสนา ซึ่งเป็นสื่อที่ปฏิบัติอย่างเดียวกันเพียงบางส่วนเท่านั้น เช่น ศาสนาพุทธ เป็นต้น มีการอุปสมบทกุลบุตร และพิธีกรรมทางศาสนาเหมือนกัน แต่การสร้างสรรค์ศิลปะของแต่ละประเทศแตกต่างกันออกไป เช่น ประเทศไทยกับประเทศพม่า เวียดนาม เป็นต้น แสดงให้เห็นว่า ขนบธรรมเนียม ประเพณี และการประพฤติปฏิบัติที่กระทำอย่างเดียวกันในแต่ละชาตินั้น ยังแตกต่างกันออกไปด้วยและทุกประเทศในตะวันออก ก็มีเอกลักษณ์ประจำชาติของตนอย่างชัดเจนในเรื่องของความเชื่อถือและขนบธรรมเนียมประเพณีอาจศึกษาได้ดังต่อไปนี้

  1. มนุษย์ในตะวันออกมิได้มีศาสนาใดศาสนาหนึ่งที่เป็นแกนสำคัญของสังคมร่วมกัน แต่จะแยกกันออกไปตามความเชื่อถือและแม้ว่าส่วนหนึ่งจะนับถือศาสนาพุทธ แต่ไม่มีศูนย์กลางอันเป็นแกนสำคัญร่วมกันเหมือนคริสต์ศาสนาโรมันคาทอริก ส่วนศาสนาอิสลามแม้ว่าจะมีแหล่งศักดิ์สิทธิ์ร่วมกันที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย แต่ก็มิได้เป็นไปในรูปองค์กรเหมือนแหล่งกลางที่กรุงวาติกันของโรมันคาทอลิก นอกจากนั้นในประเทศยังมีความเชื่อถือที่แตกต่างกันออกไปมาก เช่น ในอินเดียมีลัทธิมากมาย ในญี่ปุ่นก็เช่นเดียวกันแต่ก็มีขนบธรรมเนียมทางสังคมที่เข้มแข็งเคร่งครัดอย่างยิ่ง จึงทำให้มีการสร้างสรรค์ศิลปะเพื่อจรรโลงศาสนาที่แตกต่างกันไปมากและเห้นได้อย่างเด่นชัดอีกด้วย
  2. ความเชื่อถือในศาสนาของชาวตะวันออก แตกต่างกันออกไปแต่ละศาสนา บางศาสนาเชื่อว่ามนุษย์เกิดมาด้วยกรรม ซึ่งตนเองได้กระทำไว้แต่ในชาติปางก่อน ผลอันบังเกิดในชาตินี้ก็ป็นกระแสของกรรมแต่ชาติปางก่อนมีส่วนให้เป็นไปด้วย และการกระทำในชาตินี้ก็ยังมีผลไปถึงชาติหน้าด้วย แต่บางศาสนามีความเชื่อรุนแรงมากกว่านั้น โดยเชื่อว่าหากกระทำตนเองให้ต่ำต้อย หรือกดดันตัวเองให้ทนทุกข์ทรมานมากก็จะยิ่งได้บุญกุศลมาก โดยการปล่อยจิตใจให้ลุล่วงพ้นไปสู่ภพที่สูงกว่าและในบางศาสนามีความเชื่อในเรื่องวิญญาณบรรพบุรษอยู่มาก การน้อมเคารพบรรพบุรุษและการควบคุมจริยธรรมในการประพฤติปฏิบัคิเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด ทั้งหมดนี้จึงมีส่วนสร้างสรรค์ศิลปะที่แตกต่างกันออกไปตามแนวปรัชญาของศาสนา
  3. ชาติตะวันตกให้ความสนใจกับจิตวิญญาณมาก ความผูกพันระหว่างคนเป็นกับคนตาย ยังเป็นเยื่อใยที่เคร่งครัด จึงมีการเซ่นไหว้และบวงสรวงระลึกถึงกัน แม้บางประเทศจะมีการเผาศพ เช่น ประเทศไทย แต่บางประเทศก็ยังนิยมนิยมฝังศพ เพื่อรักษาเรือนร่างไว้ชั่วนิรันดร จะถูกทำลายไม่ได้ ในการตกแต่งตามพิธีการเหล่านี้เอง ที่ใช้ศิลปะเข้าช่วยเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดแบบอย่างศิลปะเป็นพิธีการขึ้นอีกรูปแบบหนึ่ง
  4. ขนบประเพณีต่าง ๆ ของชาวตะวันออก เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่ยึดมั่นผูกพันอยู่กับชนชาติในอดีต

ลักษณะทั่วไปของศิลปะตะวันออก

ลักษณะทั่วไปของศิลปะตะวันออก


โดยทั่วไปแล้วมักจะลงความเห็นกันว่า ศิลปะตะวันออกเป็นศิลปะอุดมคติ อันเป็นศิลปะที่มิได้ยึดถือเอาความจริงตามธรรมชาติเป็นหลักจนเกินไป หรือทำเหมือนธรรมชาติทุกกระเบียดนิ้ว และแม้ว่าจะใช้ลักษณะรูปแบบของธรรมชาติเป็นพื้นฐาน แต่ก็มิได้เน้นจนเกิดความสำคัญเท่ากับลักษณะรูปแบบที่สร้างสรรค์โดยจินตนาการ เพราะฉะนั้นเมื่อสร้างสรรค์รูปที่ประสงค์จะเอาไว้สักการบูชา จึงพยายามถ่ายทอดแนวคิดออกมาให้มีลักษณะที่สูงกว่าธรรมชาติ สังเกตได้จากพระพุทธรูป ซึ่งมีส่วนประกอบพระวรกาย เช่นเดียวกับมนุษย์ แต่ก็มิได้คล้อยตามลักษณะอันแท้จริงของมนุษย์ตามธรรมชาติ
ศิลปะตะวันออก เป็นศิลปะที่มีลักษณะเด่นชัดในเรื่องของเอกลักษณ์ อันเนื่องมาจากความคิดที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างวิจิตรบรรจงของคนในชาติ นอกจากนั้นศิลปะยังแบ่งออกตามฐานะของบุคคล เช่น ในราชสำนักก็ย่อมจะต้องประณีตวิจิตรตระการตา เพราะเป็นสิ่งของใกล้ชิดกับกษัตริย์ ส่วนศิลปะของบุคคลทั่วไปก็แสดงฐานะที่แตกต่างกันอีกด้วย เช่น สิ่งของเครื่องใช้ของเศรษฐีกับสามัญชนทั่วไป เป็นต้น ที่เป็นไปตามฐานะของบุคคลเช่นนี้ ก็เพื่อความเหมาะสมกับโอกาสที่จะใช้ด้วย เช่น เครื่องราชูปโภคของกษัตริย์ ก็เพื่อแสดงความสง่างามสมศักดิ์ศรีของการเป็นกษัตริย์ อันเป็นประมุขของประเทศ เพราะกษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นเอกราชของชาติอีกด้วย
ศิลปะตะวันออกได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นอย่างฉลาดและแฝงไว้ด้วยแนวคิดและรูปแบบอันสร้างสรรค์ขึ้นเฉพาะเป็นเรื่อง ๆ ไป เช่น การสร้างสถูปเจดีย์ในพระพุทธศาสนา ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พ.ศ. 300 ก็มีสิ่งสำคัญอยู่ 3 ประการ คือ องค์สถูป บัลลังก์ ฉัตร ดังนั้น แม้ว่ามีการสร้างสรรค์ขึ้นในสมัยต่อมา ก็ยังรักษาแนวคิดเดิมไว้ แต่รูปแบบอาจแปรเปลี่ยนไปบ้างตามแนวความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละยุคสมัยของแต่ละชาติ เพราะความคิดของคนแต่ละยุคแต่ละสมัยไม่เหมือนกัน ความเปลี่ยนแปลงนี้เองเรียกว่า “ วิวัฒนาการ ” ซึ่งเป็นไปอย่างช้า ๆ แต่มั่นคงอยู่ในรากฐานดั้งเดิม
ศิลปะตะวันออกสามารถจำแนกแหล่งอิทธิพลได้เป็น 2 แหล่งด้วยกัน คือ
  1. ประเทศที่อยู่ในสาย วัฒนธรรมอินเดียมี ไทย พม่า อินโดนีเซีย ลาว เป็นต้น
  2. ประเทศที่อยู่ในสายวัฒนธรรมจีนมี เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม เป็นต้น
ดังนั้นการศึกษาลักษณะทั่วไปของศิลปะตะวันออกจึงต้องเข้าใจแหล่งอิทธิพลทั้ง 2 แหล่งนี้เป็นพื้นฐานด้วย จะช่วยให้สามารถชี้ระบุได้ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม ประยุกต์ศิลป์ และงานหัตถกรรม